- หน้าแรก
- พระราชดำรัสสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สรุป
พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ในวโรกาสทรงปิดการประชุมสัมมนาประจำปีของสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา
" พัฒนาให้เกิดประโยชน์สุขตามแนวพระราชดำริ... "
เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2552 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้พระราชทานพระราชดำรัสแก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เนื่องในวโรกาสทรงปิดการประชุมสัมมนาประจำปี 2551 ของสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของทุกฝ่ายให้ประสานสอดคล้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนในท้ายที่สุด ซึ่งสรุปพระราชดำรัส ได้ดังนี้
ในเรื่องของการสรรหาบุคลากรเพื่อมาทำงานนั้น ทรงเน้นเรื่องความสมดุลระหว่างเก่ากับใหม่ว่า การสรรหาบุคคลขึ้นทดแทนคนเก่านั้น คนที่มาใหม่ไม่ใช่ว่าไม่ดี หรือมีความสามารถน้อยกว่า แต่คนใหม่ไม่มีพื้นฐานเดิมที่มองเห็นสภาพสมัยก่อนเป็นอย่างไรในตอนที่เริ่มโครงการ อาจเรียกว่าเป็นมิติทางประวัติศาสตร์ จึงควรต้องมีการกล่าวถึงประวัติศาสตร์ มีการปรับเปลี่ยนความคิดให้สอดคล้องตรงกัน
สำหรับการทำงานแบบบูรณาการ อย่างเช่นศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ เป็นการทดลองโดยนำเอาบุคลากรที่มีความรู้จากหน่วยงานต่างๆ ที่รู้ปัญหาในพื้นที่ ให้เอาปัญหาเอาพื้นที่เป็นฐาน มาช่วยกันร่วมมือร่วมใจกันคิด ส่วนเรื่องการเงิน หน่วยราชการมีงบประมาณแน่นอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและผู้บริหารในยุคนั้นก็เห็นว่าควรตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลโครงการพระราชดำริ มีหน้าที่ประสานงานโครงการพระราชดำริ เช่น กปร. กันเงินไว้ ดำเนินการตามพระราชดำริ มีการบันทึก อัดเทป นำมาพิจารณา พระราชดำรินี้อาจจะเชื่อฟังตามก็ได้ หรือไปพิจารณาใหม่ก็ได้ ต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำ ถ้าทำไปแล้วมีแนวโน้มว่าไม่เหมาะสมก็ให้เลิกได้ แต่งาน กปร. ก็ยังมีหลักที่เป็นของราชการอยู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงคิดแนวทางการทำงาน เพื่อช่วยเหลือราษฎร บำบัดทุกข์บำรุงสุข เพื่อให้อยู่ได้ มีชีวิตที่ดีขึ้น ชีวิตที่ก้าวหน้า คือเป็นมูลนิธิ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ เป็นองค์กรเอกชน ไม่ขึ้นกับระบบราชการ มีวิธีการที่ยืดหยุ่นได้หลายอย่าง ทั้งในระบบการบัญชีและกระบวนการตัดสินใจ ในระยะแรกการทำงานจึงมีทั้งชัยพัฒนาและ กปร. ซึ่งแยกกันไม่ออก มาในระยะหลัง จึงดึงชัยพัฒนาออกมา เป็นองค์กรเอกชนแท้ๆ แต่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะมูลนิธิเองบางครั้งยังก็ยังมีแนวในระบบราชการ คนก็ไม่พอกับงาน แต่ก็ได้ กปร. และหน่วยราชการต่างๆ ช่วยเหลือ
ในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทรงมีพระราชดำรัสว่า ปัจจุบันมีคนบริจาคเงิน สิ่งของ ที่ดิน ซึ่งก็ได้นำมาจัดทำเป็นฐานข้อมูลในลักษณะ Land Information System ก็บอกได้ว่ามีที่ดินอยู่ที่ไหน จำนวนเท่าไร แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะจัดการที่ดิน ต้องมีการตรวจตราและพิจารณาว่าที่ดินนั้นจะทำอะไรให้เหมาะสมได้บ้าง ถ้าทำไม่ได้ก็จะเป็นเรื่องทิ้งเสียเปล่า คิดว่าควรจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรที่อยู่รอบข้างมากที่สุด แม้จะทำเป็นศูนย์สาธิต ศูนย์ศึกษา และขยายผลไปสู่ราษฎร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
บางครั้งการใช้บุคลากรและเจ้าหน้าที่ที่หน่วยงานอื่นๆ ให้มา ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามูลนิธิจะเอาอย่างไร บางครั้งมีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายของหน่วยงานต้นสังกัด ทำให้เกิดปัญหาจากการฝากดูแลงาน ไม่ประสาน ล่าช้า และบางครั้งเงินที่ส่งมาให้โครงการ ส่งผ่านธนาคาร ส่งทางธนาณัติ บางครั้งก็มีปัญหา
สำหรับเรื่องงานฎีกาและร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะหลัง มีงานหลายๆ อย่างที่มีผู้ขอพระราชทานพระมหากรุณา งานแต่ก่อนส่วนใหญ่เกิดจากการเสด็จพระราชดำเนินไปที่ต่างๆ แต่ปัจจุบันนี้เป็นงานที่มีผู้เขียนจดหมายทูลเกล้าฯ ถวายขอพระราชทานพระมหากรุณา ก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบฎีกา เป็นความร่วมมือจากทั้งกรมชลประทาน สำนักราชเลขาธิการ และ กปร. ซึ่งมีฎีกามาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสมาว่า งานที่ทรงทำไว้เป็นตัวอย่าง ให้แนวทางไว้เป็นปีๆ แล้ว งานบางเรื่องในลักษณะเดียวกันก็อนุโลมช่วยกันคิด ช่วยกันดำเนินงานไปตามนั้น ปริมาณงานและเงินเท่านี้ คิดว่า กปร. น่าจะช่วยได้ และบางเรื่องก็ส่งหน่วยงานปกติ ในบางเรื่องมูลนิธิชัยพัฒนาก็น่าจะมีกำลังพลและกำลังทรัพย์ที่จะทำได้ ก็ดึงมาเป็นงานของชัยพัฒนา เพื่อเป็นการแบ่งเบางานของ กปร. พร้อมไปกับดูแลทุกข์สุขของผู้ปฏิบัติงานไปด้วย
สำหรับงานโครงการพิเศษ เช่น โครงการที่บางกระเจ้านั้น ความจริงเป็นเรื่องที่มีพระราชกระแสมาโดยตรง แต่บางเรื่องเป็นเรื่องที่คิดเอาเอง อย่างเช่น เรื่องกระเทียมที่พะเยา เมื่อไปคุยก็พบปัญหา จึงได้หาทางปัดเป่าบรรเทาปัญหาให้ ส่วนเรื่องโครงการกาสรกสิวิทย์ เดิมเป็นเรื่องของที่ดินที่ได้มาแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไร ส่วนเรื่อง horrible โรงพยาบาล หรือโรงเรียนต่างๆ เป็นเหตุมาจากเรื่องวิกฤติเร่งด่วน เช่น ภัยจากธรณีพิบัติสึนามิ
ส่วนการส่งเรื่องร้องทุกข์ผ่านทางเว็บไซต์นั้น เป็นเรื่องที่คนนอกส่งเข้ามา หรือเจ้าหน้าที่ภายในส่งเรื่องมาให้เว็บมาสเตอร์รับเรื่อง สกรีนเรื่องและส่งเรื่องต่อไปยังผู้เกี่ยวข้อง
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณช้า ต้องหาทางแก้ไขให้เร็วขึ้น แต่ต้องมีระบบที่ดีและโปร่งใส
ในเรื่องการตัดสินใจ ต้องหาคนที่ตัดสินใจได้ หรือคนที่ตัดสินใจไม่ได้ก็ต้องเข้าถึงคนที่ตัดสินใจได้ การจัดการอัตโนมัติเป็นสิ่งจำเป็น
เรื่องภูมิสังคม ยอมรับว่ามีปัญหาบ้าง ภูมิสังคมสำหรับชาวบ้านที่อยู่ที่นั่นและเจ้าหน้าที่โครงการและส่วนกลาง อาจมีมุมมองและแนวคิดที่ต่างกันมาก การถามชาวบ้านบางครั้งเป็นเรื่องความคิดเห็น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่ถ้าข้อเท็จจริงผิดพลาดจะเสียหาย
เรื่องการสนับสนุนทางวิชาการ หน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีความรู้ ได้ให้ความช่วยเหลือมูลนิธิดี เช่น เรื่องการศึกษาวิจัย บางครั้งก็ให้หน่วยงานภายนอกมาช่วยประเมินผลก็ดี ก็ยอมรับว่าเราถูกผิดที่ไหน และค่อยๆ หาคนที่ทำงานได้มาเพิ่มเติมในภายหลัง
เรื่องไอทีไม่ใช่เรื่องยาก ต้องพยายามยอมรับให้มากขึ้น ใครๆ ก็ทำกัน เป็นเรื่องธรรมดา
สำหรับความคิด ซึ่งมีใหม่อยู่เสมอนั้น ต้องบอกว่าความคิดไม่มีที่สิ้นสุด บางทีเห็นอะไร เช่น "ทำไมราษฎรจึงต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างนี้" เราจะช่วยได้ไหม ต้องช่วยกันคิด ต้องมีระบบสัญญาณเตือนภัย หากมากเกินไปเกินกว่าที่จะจัดการได้แล้ว ก็อาจให้หน่วยงานอื่นมาช่วยคิดช่วยทำได้
โครงการต่างๆ ในความเป็นจริงอาจไม่เลี้ยงตัวเองได้ การทำ "ภัทรพัฒน์" ปัญหาที่สำคัญ คือในพื้นที่ไม่ได้มีทุกอย่างที่มีคุณภาพ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้เน้นคุณภาพ ทั้งขั้นตอนการผลิตและการบรรจุหีบห่อ โดยเฉพาะเรื่องของกินเป็นเรื่องอันตราย ปัญหาอย่างนี้เป็นปัญหามาก จึงอย่าหวังว่าจะเลี้ยงโครงการได้ โดยไม่ต้องพึ่งโครงการแม่ สินค้าที่ผลิตออกมาหลายๆ อย่างไม่มีลักษณะพิเศษ เป็นของที่มีดาษดื่นทั่วไป ยากที่จะสร้างของพิเศษให้เข้ากับแบรนด์ ของบางอย่างสวยแต่หีบห่อ จนอยากซื้อแต่กล่อง
สำหรับเรื่องโครงการสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่มีอยู่ในตราสารมูลนิธิอยู่ในหมวดสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกังหันน้ำชัยพัฒนา ทำโครงการชัยพัฒนาให้เป็นตัวอย่างในเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ดี เรื่องน้ำเสียต้องดูแลให้ดี ทำอะไรให้ดี ไม่ผิดกฏหมาย ไม่เสื่อมเสียหลักศีลธรรม เอาอะไรของใครมาต้องขออนุญาตค่าลิขสิทธิ์ ไม่ปล้นความคิดทางทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น
สุดท้าย ต้องขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันมา ทั้งหน่วยราชการ บริษัทเอกชน คนที่มีความรู้ต่างๆ พวกคลังสมอง พวกเก่าๆ ที่เกษียณไปแล้ว เป็นของควรอนุรักษ์ สมัยนี้นิยมของโบราณ รวมทั้งเด็กๆ รุ่นหลัง ซึ่งจะต้องร่วมกันทำงานด้วยความอดทน
ขอขอบคุณทุกอย่าง เพราะว่าที่ทำมาทุกอย่าง ก็ด้วยมีจุดมุ่งหมายให้คนมีกินมีอยู่ เป็นการพัฒนาให้เกิดประโยชน์สุขตามแนวพระราชดำริ
สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา